วิธีปลดปล่อยกุมารทอง

วิธีปลดปล่อยแรงงานเด็กกุมารทอง เพื่อไม่ให้มีเชื้อเวรกรรม ซึ่งเป็นเชื้อวิบัติติดตัวไปนั้น เชื้อ วิบัติเป็นอย่างไร เชื้อวิบัติก็คือเชื้อที่จะทำให้ไปเจอพวกทรงเจ้าเข้าผี พอไปนับถืออย่างนั้นเข้า ก็จะห่างไกลจากพระรัตนตรัย จะไม่อยากทำความดีเพิ่มขึ้น ผู้ที่ปล่อยจะต้องหมดกรรมแล้ว คือจะไม่มีความรู้สึกผูกพันกับสิ่งนี้ เกิดความกลัวไม่อยากเอาไว้ เพราะมีแล้ว ก็มีโครมคราม ลูกหลานก็อยู่ไม่เป็นสุข แต่ไม่รู้จะเอาไปทำอย่างไร หรือบางทีได้รับต่อมาจากผู้ที่เคารพนับถือ ผู้เป็นที่รัก เป็นญาติบ้าง เป็นพรรคพวกกันบ้างก็เกรงใจรับสืบทอดกันมา เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
   
                 วิธี การปลดปล่อยจะต้องทำดังนี้ คือ ให้พูดดีๆ กับกุมารทอง เอารูปปั้นกุมารทองก็ดี รักยมก็ดี ลูกกรอกก็ดี ถ้าเป็นผู้ชายก็เรียกตัวเองว่าพ่อ ผู้หญิงเรียกตัวเองว่าแม่ สมมุติว่า เป็นผู้หญิงก็แล้วกัน แม่เห็นว่าลูกกุมารทอง ถึงเวลาจะหมดกรรมแล้ว ไปเกิดใหม่นะลูกนะ ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้ อย่าอยู่ในภพภูมินี้เลย เพราะรักหรอกจึงบอกลูก ทำอย่างนี้ก็จะทำให้ กุมารทองรักยมหรือลูกกรอกดีใจ เพราะการที่จะคลายความผูกพันกันได้จะต้องประกอบด้วย
   
                 ๑. ผู้ที่เลี้ยงหมดจากเชื้อวิบัติ เชื้อเวรกรรมนี้แล้ว
                    ๒. กุมารทองก็หมดจากกรรมนี้ด้วย

   
                 แล้ว ให้นำกุมารทองหรือรักยมหรือลูกกรอกไปฝัง โดยขุดหลุมโตพอประมาณ วางลงไป โปรยดอกไม้ของหอม ดอกไม้จะเป็นดอกอะไรก็ได้ แล้วก็พูดว่า สิ่งนี้คือซากของลูกที่ไม่ใช้แล้ว เหมือนซากศพที่ตายแล้ว สมควรที่จะขจัดซากนี้ให้สลายกลายไปเป็นซากดิน พ่อและแม่ก็จะกลบร่างนี้ เพื่อให้ลูกไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ก่อนที่ลูกจะไป ให้ลูกรับศีล ๕ เหมือนพระให้ศีลอย่างนั้น ข้อหนึ่ง เว้นจากการฆ่าสัตว์ ข้อ ๒ เว้นจากการลักทรัพย์อย่างนี้ เป็นต้น กล่าวไป จนครบ ๕ ข้อ ลูกๆ รับศีล ๕ จากแม่นะ แล้วแม่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
   
                 วัน รุ่งขึ้นก็ไปใส่บาตร ถวายสังฆทาน แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่มีกรรมเวรทางนี้ เสร็จแล้วเราก็กลบอย่างดีเรียบร้อย เพราะถ้าเอาไว้ที่ต้นไม้ ใครเห็นเข้า เกิดมีรสนิยมทางด้านนี้ คว้าไปอีก ก็ไม่ดี รักต้องกลบ ทำแค่นี้แล้วกุมารทองก็จะพ้นจากสภาพนี้ ไปเป็น ภุมมเทวาอีกระดับหนึ่ง ที่พ้นจากการควบคุมของวิทยาธร หรือถ้าเราให้บุญไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นรุกขเทวดา หรือสามารถไปเป็นอากาศเทวาได้ ก็เหมือนเราทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ หมู่ญาติของเราที่ละโลกแล้ว หรืออาจจะไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ และหลังจากนี้ให้ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้
   
                 หลัง จากนั้น ให้เราไปขอศีลจากพระ แล้วก็ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ แล้วก็ยึดถือตลอดไป เรียกว่า หันไปกันคนละด้านไปเลย ถ้าใครไปเจอแบบนี้ เราชวนให้เขาเลิก เราไม่เชื่อแต่เราก็ไม่ลบหลู่ เราชวนให้เขาพ้นจากเชื้อวิบัติและเชื้อเวรกรรมที่จะตามผูกพันไม่จบสิ้น
                    นอก จากวิธี รักต้องกลบแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่ง รักต้องลอย คือ เราฝากแม่พระคงคาไว้ เวลาจะนำไปปล่อย ให้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้เรียบร้อย มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น เหมือนเราลอยอัฐิลอยอังคารอย่างนั้น และจะต้องพูดดีๆ กล่าวว่าเราไม่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นท่าน แต่ว่าตอนนี้เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะขอคืนสิ่งนี้ให้กับครูผู้รักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งเคยดูแลเรามาระยะหนึ่ง ขณะนี้หมดความจำเป็นแล้ว วิธีนี้ก็ทำลักษณะคล้ายกับการฝากแม่พระธรณีไว้
   
                 การ ปลดปล่อยกุมารทอง เมื่อเราหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้แล้ว เพราะเรามาเข้าใจซาบซึ้งว่า พระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของชีวิต เราจึงได้สละสิ่งเหล่านี้ไป ไม่ได้ลบหลู่ดูแคลน เพราะฉะนั้นก็จะมี ๒ วิธี คือ ฝากแม่พระธรณีกับฝากแม่พระคงคา ซึ่งต้องทำให้ถูกหลักวิชา มีถ้อยคำดีๆ ต้องพูดไพเราะ เพราะระหว่างที่เรากำลังทำพิธี เจ้าของ วิชาเขายืนดูอยู่ว่าทำถูกหลักวิชาหรือไม่ ถ้าถูกหลักวิชาไม่มีปัญหา เพราะเมื่อไม่เรียนวิทยาศาสตร์ แต่จะเรียนภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ก็ตกลง หมายความว่าเราก็วางวิชาหนึ่ง แล้วก็ต้องมาเรียนวิชาหนึ่งนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น